4 Years Old – His Highness’s Rebellious Age

เจ้าชายในวัยต่อต้าน

 

เอาล่ะ ในตอนนี้ ดิฉัน.. ลิซเบ็ธ อเดลเชี่ยน กำลังจะเริ่มการโน้มน้าวฝ่าบาทแล้วค่ะ

 

…ฉันล่ะสงสัยว่าฉันควรจะเริ่มทำมันยังไงดี?

 

ทำไมน่ะเหรอ? มันไม่แปลกรึไงที่อยู่ดีๆจะถูกสั่งสอนจากเด็กที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้น่ะ ถึงแม้ว่าลูกชายคนแรกของตระกูลราชวงค์จะอนุญาติก็เถอะ ฉันก็เป็นแค่คนนอก— คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

ฝ่าบาทนั้นเป็นบุคคลที่สามารถเรียกได้ว่าอนาคตพระราชาผู้ที่จะต้องแบกรับหน้าที่ของประเทศชาติ การที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับบุคคลที่สำคัญแบบนี้..มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่ากังวลที่จะพูดความเห็นของตัวฉันออกไปโดยที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจทำให้เกิดการล่มสลายของเหล่าคนชั้นสูงอย่างระมัดระวัง

 

โดยที่ไม่ได้รับรู้ถึงความกังวลของตัวฉัน ท่านพ่อกลับพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นลูกล่ะก็..ต้องทำได้อย่างแน่นอน” พร้อมให้การสนับสนุนกับฉันอย่างเต็มที่ – เสมือนกับว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น – ก่อนที่จะบังคับให้ฉันเข้าไปยังห้องสมุดที่ฝ่าบาทซ่อนตัวอยู่แบบไม่ถามความสมัครใจของฉันเลยสักนิด ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างทำใจ

 

_____ ※ _____ ※ _____ 

 

ห้องสมุดที่ฉันถูกบังคับให้เข้าไปนั้นมีบรรยากาศที่เย็นยะเยือกที่มีแสงไฟสลัวและอบอวนไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ

 

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่ไม่ถูกลักษณอนามัยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดกลิ่นเหม็นอับนี้ จมูกของฉันขยับไปมาเมื่อได้กลิ่นหอมของหมึกและกระดาษ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือฝุ่นนั้นทำให้ฉันอดที่จะขยับจมูกยุบยิบอย่างอดไม่ได้

 

“ฮัดชิ่วว—”

 

“…นั่นใครน่ะ!”

 

..อ่า ฉันหาเจ้าชายเจอเเล้ว

 

ฉันไม่ได้เห็นตัวเจ้าชายจังๆแต่จากมุมของตู้หนังสือแล้ว มีใบหน้าของเด็กหนุ่มแอบมองออกมา ทำให้ฉันสามารถรับรู้ได้อย่างทันที

20160502035413

 

ดูจากรูปร่างแล้ว.. เขาน่าจะอายุมากกว่าฉันสักประมานสองถึงสามปี

 

แม้ว่าแสงไฟจะตะเกียงและแสงสว่างที่ส่องผ่านเพดานจะมีไม่มากแต่ เรือนผมสีทองสลวยนั้นเป็นอะไรที่ไม่มีทางผิดผลาดแน่นอน ผิวขาวเนียนราวกับกระเบื้องแบบนั้น…แม้กระทั่งผู้หญิงก็ไม่อาจที่จะเนียนได้ขนาดนั้น

 

แอบส่องมองด้วยผ่านผมม้าด้วยดวงตาสีฟ้าของเขาที่เบิกกว้างมองตรงมาที่ฉันอย่างระมัดระวัง…ท่านขอให้ข้าจัดการเรื่องที่ยุ่งยากมากๆเลยใช่มั้ยค่ะ ท่านพ่อ..

 

“ขออนุญาติแนะนำตัว..ดิฉันลิซเบ็ธเพคะ”

 

ฉันไม่คิดที่จะเสริมต่อด้วยประโยคอย่าง – เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน – เพราะฉันไม่ต้องการที่จะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเชื้อราชวงค์ หรือต้องการที่จะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องอำนาจของพวกเขา

 

ขย้ำกระโปรงของตัวเองจนยับยู่ยี่ สายตาของเจ้าชายที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ มันดูเหมือนว่าอยู่ดีๆก็มีเด็กปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้

 

บางที..ในหัวของเขานั้นมาถึงข้อสรุปที่ว่าเด็กคนนี้ถูกส่งมาด้วยพวกผู้ใหญ่..

 

“โปรดวางใจ ดิฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพาท่านกลับไปอย่างที่ท่านไม่ต้องการ”

 

“…เชื่อได้ที่ไหนกัน”

 

“นั่นสินะคะ? หากแต่ดิฉันไม่มีพลังมากพอที่จะบังคับให้พระองค์กลับไปด้วยได้”

 

เพราะอย่างไร ฉันก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยวัยสี่ขวบเท่านั้น ถึงแม้ว่านั้นอาจจะมีพันธุกรรมที่ดี แต่ถ้าการเติบโตของร่างกายนั้นไม่ได้โตเร็วตามสมอง ก็ไม่สามารถทำได้

 

ตั้งแต่แรก ถ้าหากว่าฉันทำตัวไม่สุภาพกับฝ่าบาทแล้ว เขาสามารถที่จะสั่งประหารฉันได้ แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะพูดจาเยินยอและพยายามที่จะทำให้เขาอารมณ์ดีหรอกนะ..

 

______ ※ ______ ※ ______

 

โดยที่ไม่ให้จุดประสงค์ของตัวฉันนั้นถูกเปิดเผย ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นในท่ายอมแพ้ เป็นการบอกว่าจะไม่มีการบังคับทางร่างกายแน่นอน ฉันหมายถึง..ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กตัวเล็กๆอยู่แล้ว

 

เอาล่ะ..เพื่อการโน้มน้าว ฉันจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้คำพูดให้ถูกต้อง ซึ่งในครั้งนี้ฉันจะเลือกที่ใช้คำพูดแนวยั่วยุให้โกรธ ฉันได้แต่ภาวนาว่าฉันคงไม่ได้รับการลงโทษจากการหมิ่นประมาท ถ้าหากมันถึงขึ้นนั้นจริงๆ ฉันก็จะขอความเมตตากับพระราชาด้วยท่าทางของเด็กน้อยก็แล้วกัน

 

“..แล้วท่านจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ยคะ?”

 

แม้ว่าจะพยายามทำตัวเป็นมิตรอย่างประนีประน้อมด้วยแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นมีเพียงสายตาที่ส่งความเป็นศัตรูออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

เอาเถอะ! ในสายตาของเจ้าชายแล้ว ฉันคงเป็นเพียงตัวหมากคุณภาพต่ำเพียงเท่านั้น ใช่..เด็กสาวที่ไม่มีความสุขุมเรียบร้อยแถมทำตัวไม่สุภาพและพูดจาขวานผ่าซากแบบนี้อีกสินะ?

 

น่าหงุดหงิดจริง ไม่หรอก..แค่ล้อเล่นเท่านั้นแหล่ะ เด็กสาวที่ส่งออร่าความน่ารักน่าเอ็นดูออกมาไม่หยุดแบบฉันและไม่โง่นี่เป็นอะไรที่เข้าใจได้

 

“ทุกคนกำลังเป็นห่วงท่านอยู่นะคะ”

 

“โกหก! เจ้าพวกนั้นทำเป็นเรื่องใหญ่โตก็เพราะว่าเราเป็นลูกของพระราชาต่างหาก! อีกอย่าง..สิ่งที่พวกเขาสนใจนั้นคือการพูดจาประจบประแจงเพื่อใช้เราที่หลังต่างหาก!”

 

เจ้าชายเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง อ่า..ฉันเข้าใจแล้ว สำหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงมาเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนนึงแบบนี้นั้นทำให้เขามีวิธีการคิดที่ค่อนข้างจะรุนแรง หรือพูดง่ายๆก็คือ..ไม่มีความรู้สึกของการเชื่อใจเลยแม้แต่น้อย

 

“ดิฉันคิดว่าท่านสามารถพูดเช่นนั้นได้ แล้วอย่างไรคะ?”

 

“แล้วยังไง? ก็..”

 

“นั่นเป็นเพียงข้ออ้างไม่ใช่เหรอคะ? ท่านเพียงแต่หนีจากความรับผิดชอบของตัวท่านและทอดทิ้งหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น”

 

การพูดแบบนี้นั้นไม่ถูกต้อง แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องพูดออกไป ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบสิ่งที่ทำอยู่และต้องการที่จะหลีกหนีมันให้มากเท่าที่จะทำได้

 

แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำตัวสนิทชิดเชื้อกับคนมีอำนาจและรับการตอบแทนที่หอมหวาน

 

เมื่อเกิดมาในราชวงค์แล้ว การที่จะต้องเจอกับความประสงค์ร้ายที่รุนแรงอยู่ตลอดเวลาแบบนั้น แม้แต่ตัวฉันเองก็เข้าใจ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..ถ้านั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้วิ่งหนีแล้วล่ะก็ ปัญหาเหล่านั้นก็จะไม่ได้รับการแก้ไข แถมยังจะทำให้แย่ลงอีกด้วย

 

“เจ้า..เจ้าจะมาเข้าใจเราได้ยังไง!”

 

“แน่นอนว่าดิฉันไม่เข้าใจ หนีก็คือหนี ถึงแม้ว่าความจริงจะอยู่ตรงหน้าท่านแล้วก็แต่ หากแต่ท่านกลับเลือกที่จะเบือนสายตาหนีจากมันไป”

 

“…!”

 

ปังง!

 

โยนเหตุผลของเขาออกไปจนหมดสิ้น เวลาที่จะตกลงไปสู่การใช้กำลังได้มาถึง หลังจากที่โดนเธอพูดแทงใจดำ ฝ่าบาทนั้นไม่แม้สามารถที่เถียงกลับมาได้

 

เพราะอย่างนั้น เจ้าชายเอนตัวมาหาฉัน มือของเขาที่สั่นอย่างโกรธเคืองนั้นคว้าปกเสื้อของฉันเอาไว้แน่น

 

ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะคะ…

 

ดูเหมือนว่าฉันจะจี้ถูดจุด ผลก็คือ..เขาสติแตกเป็นบ้าไปแล้ว

 

ทั้งๆที่เป็นคำพูดที่พูดออกมาเพื่อผลประโยชน์ของเขาแท้ๆ ไม่เพียงแค่เขาจะโยนทั้งหมดเหตุผลทิ้งแบบนี้แ้ลว แต่เขายังเสียสติจนมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันแบบนี้

 

ช่างเถอะ ถ้าฉันถูกชก มันก็แค่นั้น เดี๋ยวท่านแม่ก็รักษาให้อยู่ดี…ถ้าฉันไม่ตายล่ะก็นะ…คราวนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะเออ

 

“เจ้า..คนอย่างเจ้าจะมาเข้าใจเราได้ยังไงกัน….!”

 

“หม่อมฉันเข้าใจว่าเหตุผลเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างเติมใจ หากแต่เมื่อเกิดมาเป็นเชื้อพระวงค์แล้วก็หมายความว่าท่านมีหน้าที่ที่จะเป็นต้องรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นผลประโยชน์ของตัวท่านเองด้วย”

 

ฉันรู้วิธีที่จะจิตตกเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้เราแก้ไขอะไรได้ ในความคิดมักง่ายของเด็กๆแล้วนั้น ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรในสถานการณ์ในที่เกิดขึ้นในตอนนี้หรอก

 

“อย่ามาเถียงเรานะ!”

 

“เช่นนั้นได้โปรดอย่าพูดจาเอาแต่ใจกับหม่อมฉัน หากนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ท่านถนัดแล้วล่ะก็ ท่านมันก็แค่เป็นเด็กน้อยเท่านั้นแหล่ะ เพราะเช่นนั้นความเอาแต่ใจของท่านจึงได้รับการให้อภัย”

 

เพราะยังคงเป็นเด็กอยู่ เจ้าชายไม่ควรที่จะต้องได้รับความกดดันจากภาชนะของเขา เพราะงั้นถ้าหากว่าเขาเลิกที่จะวิ่งหนีแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าหลังจากนั้นคนรอบตัวของเขาก็จะทำตัวน่ารำคาญน้อยลงด้วยเช่นกัน

…แต่เพราะว่าเป็นตอนนี้เท่านั้น ที่ยังคงสามารถได้รับการให้อภัยได้

 

“ไม่ช้าก็เร็วท่านก็จะต้องเป็นผู้ใหญ่ ในตอนนั้นแล้ว การหนีนั้นจะไม่มีทางได้รับการให้อภัยแน่นอน เพราะว่าท่านแบกรับน้ำหนักของประเทศทั้งประเทศ เป็นกษัตริย์ของพวกเรา”

 

“เรา…”

 

“ไม่ทำอะไรในตอนนี้นั้นก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เอาง่ายๆ มันเป็นหนึ่งในเกราะของท่าน ผูกมัดเอาไว้ด้วยกันโดยชิ้นส่วนมากมาย”

 

“…เกราะ…?”

 

หลังจากที่สงบสติของตัวเองลง เขาก็ตอบสนองกับคำพูดของฉัน

 

“เพราะว่าตอนนี้ท่านนั้นยังถูกปกป้องเอาไว้อยู่ทำให้ท่านอาจไม่เข้าใจ เมื่อท่านวิ่งหนีจากทุกสิ่ง ท่านก็สูญเสียสิ่งที่จะปกป้องตัวเอง วิชาเหล่านั้นสอนอะไรบ้าง?

ดาบและเวทมนต์นั้นเป็นเพื่อปกป้อง เรียนเพื่อปกป้องประเทศ วัฒนธรรมของต่างชาตินั้นก็เพื่อไม่ให้พวกเขาดูถูกพวกเรา..

..ทุกๆอย่างนั้นถูกเตรียมมาเพื่อความสะดวกสะบายในอนาคตของท่าน ท่านไม่เข้าใจรึไงว่าทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำเพื่อท่านทั้งนั้น?”

 

ถึงแม้ว่าข้าจะพูดเรื่องแบบนี้กับเด็กคนอื่นแล้ว มันคงเป็นอะไรที่เป็นไม่ไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้าใจ

 

แต่เจ้าชายนั้นฉลาดและมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากพอ เขาน่าจะสามารถเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของฉันผ่านทางคำพูด

 

“หม่อมฉันต้องขอโทษที่พูดมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ได้โปรดไตร่ตรองสักนิดนะคะ ทุกคนนั้นเข้มงวดกับท่านเพื่อตัวของท่านเอง”

 

หลังจากที่ได้รับการยืนยันนั้นไป เจ้าชายก็เบิกตากว้าง มองตรงมาที่ฉัน แรงกดที่กำของเสื้อของฉันเอาไว้ด้วยมือเล็กๆของเขานั้นคลายออก

 

….เหลือแค่ส่งเเรงผลักอีกเพียงเล็กน้อย….

 

“เมื่อเดินในทางเส้นนี้แล้ว ท่านจะได้พบคนที่ต้องการที่จะใช้ท่าน หม่อมฉันไม่ปฏิเสธในข้อนี้ ถึงอย่างนั้น หากท่านได้เรียนรู้วิธีที่จะป้องกันตัวเองแล้ว ท่านก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าใครมีจุดประสงค์ดีหรือร้าย ท่านสามารถที่จะตัดพวกที่ไม่ดีออกหรือในทางกลับกัน ท่านสามารถใช้งานพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของท่าน”

 

ฉันพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปหาฝ่าบาทที่ยังคงพิงตัวของฉันอยู่

 

ก่อนจะใช้แขนโอบรอบคอของอีกฝ่าย ใช้หน้าอกอันแบนราบของตัวเองดึงเอาเขาเข้ามาให้อ้อมกอดแน่น

 

ได้โปรดอย่าเป็นคนใจคับแคบคิดมากกับการกระทำแบบนี้ เพื่อที่ฉันจะได้ยังคงมีอนาคตในชีวิตอยู่

 

“…เพราะงั้น ครั้งนี้ท่านจะหยุดวิ่งหนีมั้ยเพคะ? เมื่อท่านแข็งแกร่งขึ้น ท่านก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน”

 

“…”

 

“แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ท่านสามารถทำตามใจได้…เข้าใจมั้ยคะ?”

 

คำพูดประเภทไหนที่จะทำให้เด็กที่อายุสี่ขวบครึ่งชนะการโต้เถียงได้? ถึงอย่างนั้น สำหรับฝ่าบาทที่ถูกฉันกักขังเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วไม่สามารถที่จะคิดไตร่ตรองได้อย่างเต็มที่ มือที่ครั้งหนึ่งเคยคว้าจับคอเสื้อของฉันแน่น ในตอนนี้กลับโอบรอบหลังด้านของฉัน

 

ขยับร่างกายของฉันเล็กน้อย ฉันค่อยๆลูบหัวและหลังของเขาอย่างปลอบโยน

 

อ่าฮะ ไม่ใช่การกระทำของเด็กวัยสี่ขวบเลยสักนิด..

 

“..แข็ง ไม่เหมือนกับเสด็จแม่เลยสักนิด”

 

“เจ้าชาย..หม่อมฉันเป็นเพียงเด็กน้อย เพราะงั้นโปรดหยุดเรียกร้องหาความอ่อนนุ่มจากฉันด้วยค่ะ”

 

มีเสี้ยววินาทีที่ฉันอยากจะชกเขา เพียงแต่นั้นจะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทแน่นอน เพราะงั้นฉันจะหยุดแค่ตรงนั้น ถ้าฉันลงไม้ลงมือกับฝ่าบาทแล้วก็ ฉันโดนฆ่าแน่ๆ ในสถานการณ์แบบนี้ ปากของฉันสามารถช่วยฉันจากการพ่ายแพ้ได้

 

______ ※ ______ ※ ______

 

หลังจากกอดกันได้สักพัก เจ้าชายก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ม่านตาของเขานั้นมีความช่ำน้ำเป็นหลักฐานว่าเขาได้ร้องไห้ออกมาเล็กน้อย ซึ่งฉันตัดสินใจเลือกที่จะไม่ถามเกี่ยวกับมัน

 

เป็นเพราะเขาใช้เวลาในการจ้องหน้าของฉันอย่างยาวนาน ทำให้ฉันรู้สึกสับสน หรือจริงๆแล้วคือ ฉันพึ่งรับรู้ว่าเจ้าชายนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้มากๆ แบบเห็นรูขุมขนบนใบหน้าได้เลยทีเดียว

 

จนกระทั่งตอนนี้ เพราะเขาเอาแต่มองฉันตาขวาง ทำให้ฉันไม่ได้สังเกตว่าเขามีใบหน้าที่น่ารักมาก ถึงตอนนั้น ฉันคิดว่ามันดูหยิ่งยโส ในอนาคต ไม่ใช่ว่าเขาจะโตมาหน้าตาดีมากหรอกเหรอ?

 

“มีอะไรหรือเพคะ?”

 

“..เจ้าอายุเท่าไหร่”

 

“สี่ขวบ เจ็ดเดือนเพคะ”

 

“..เป็นไปไม่ได้”

 

กับคำพึมพัมที่แสนจะตกใจ เมื่อแต่ตัวฉันเองก็คิดอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มแห้งแล้ง อย่างไรซะ เนื้อในของฉันก็เป็นผู้หญิงที่ใกล้จะอายุสามสิบ

 

ถ้าหากฉันบอกเขาไป เขาก็จะคิดว่าฉันเพียงเป็นเด็กที่มีความคิดโตกว่าวัยเท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจในคำพูดของฉันหรอก

 

______ ※ ______ ※ ______

 

พยายามดึงสติของตัวเองให้กลับมาคงที่ เขาปัดพวกฝุ่นที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าของฉันโดยไม่เปิดเผยความคิดของตัวเอง ก่อนจะยื่นมือของเขามาที่ฉัน

 

แปลกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึง ฉันกระพริบตาก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมันตามมาด้วย 「 ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางและต้องถูกปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนตามที่ฉันโดนบอกมา 」กับการกระทำที่สมกับสุภาพบุรุษ

 

ไม่มีคำขอโทษสำหรับเรื่องก่อนหน้านี้? เอาเถอะ เพราะฉันไม่ได้เจ็บตัวอะไรเพราะงั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก

 

..ตามจริงแล้ว ฉันคิดว่าเด็กผู้หญิงแทบจะทุกคนนั้นแข็งแรงกว่าเด็กผู้ชาย แต่ฉันเก็บนั้นไว้เป็นความลับดีกว่า

 

“..เมื่อกี้ เราต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

 

โอ้ เขาขอโทษด้วยล่ะ

 

“หามิได้เพคะ หม่อมฉันเองก็ผิดที่ไปยั่วยุท่านเช่นกัน” ฉันพูดขอโทษอย่างจริงใจ “ได้โปรดให้อภัยกับความหยาบคายเมื่อครู่ของหม่อมฉันด้วยเพคะ”

 

“..เจ้าไม่จำเป็นที่จะพูดสุภาพขนาดนั้น พูดแบบก่อนหน้านี้ก็ได้”

 

ดูเหมือนว่าฉันจะรอดพ้นจากข้อหาหมิ่นประมาทแฮะ จากก้นลึกของหัวใจ ฉันรู้สึกโล่งใจจริงๆ ดูเหมือนว่าปากของฉันจะทำงานได้ดีมาก

 

แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันก็ได้สังเกตเห็นว่าเรายังคงจับมือกันอยู่และปล่อยมือของตัวเองออก

 

…ไม่ปล่อยมือของฉัน?

 

“หากเราไม่อนุญาติ เจ้าจะปล่อยไม่ได้เด็ดขาด”

 

โอ้ ช่างเป็นวิธีที่ทรราชอะไรอย่างนี้.. นอกเสียจากว่าจะโดนดันออกห่าง ฉันไม่สามารถปล่อยได้? อา..เอาเถอะ ฉันคิดว่าเขาคงแค่รู้สึกยึดติดกับฉันเท่านั้น

 

ฮืมม ฉันไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองพึ่งจะปักธงอะไรลงไป แต่สำหรับตอนนี้ ภารกิจเสร็จสิ้น ฉันต้องกลับไปรายงานท่านพ่อ

 

ไม่ว่าจะยังไง ฝ่าบาทก็เลือกที่จะตามฉันมาอย่างไร้ซึ่งคำถามและไม่ได้ให้ความสนใจกับมือที่ยังคงประสานกันอยู่

 

..ได้รับการปฏิบัติอย่างข่มขู่ด้วยการกระทำที่ล่อลวงแบบนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

 

 

Donate: ko-fi.com/walicia


<Previous Chapter|Topic|Next Chapter>

ใส่ความเห็น